วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมันสมอง 6 ข้อ

1.มันสมองเหนื่อยหรือเพลียกับใครไม่เป็นคนที่ทำงานใช้ความคิดติดต่อกันนานๆจะรู้สึกมึนงงเพลีย ทำงานช้าลงเข้าใจเอาเองว่าใช้สมองมากจนสมองเพลียจึงต้องหยุดพักสมองเมื่อได้พักแล้วก็รู้สึกแจ่มใส ทำงานได้ดีขึ้น พวกนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเรื่องนี้ ว่าจริงไม่จริงอย่างไร ก็พบว่าไม่จริงสมองเพลียกับใครไม่เป็นเพราะสมองไม่เหมือนกล้ามเนื้อไม่ได้ทำงานอย่างกล้ามเนื้อ พลังของสมองเกิดจากไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)ในสมองมันจึงไม่เพลีย เช่นเดียวกับเราเปิดไฟห้าสิบแรงเทียนเปิดไว้นานเท่าใดมันก็สว่างอยู่เท่านั้นถ้ามันจะดับก็ดับไปเลยอาการที่ใกล้กับความเพลียของสมอง ก็คือความเบื่อ อย่างเช่นเวลาท่องตำรายากๆสักเล่มหนึ่งพอดึกเข้า สักหน่อย ใจหนึ่งอยากอ่านต่อไปอีกใจหนึ่งอยากนอนเช่นนี้ทำให้ท่านหมดความตั้งใจที่จะอ่านดังนี้พอจะพูดได้ว่าสมองเพลียคือหมายความว่าท่านหย่อนความตั้งใจที่จะทำงานและไม่สามารถที่จะบังคับความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในทางอื่น
2.กำลังสมองไม่มีที่สิ้นสุดสมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมีหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำการคิดและความรู้สึกต่างๆสมองประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัวถึง 12 พันล้านตัวแต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่าแอกซอน(Axon)และเดนไดรต์(Dendrite)สำหรับให้กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)แล่นผ่านถึงกันการที่เราจะคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆนั้นเกิดจากการเชื่อมต่อของกระแสไฟฟ้าในสมอง คนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่สามารถใช้กำลังไฟฟ้าได้เต็มที่
3. อัตราส่วนเชาวน์ (I.Q.) นั้นที่จริงไม่ใช่ของสำคัญนักจิตวิทยา เช่น อัลเฟรดและบิเนต์ มีวิธีการวัดความฉลาดของคนโดยการวัดอัตราส่วนเชาวน์หรือไอคิวแล้วกำหนดว่าคนนั้นๆมีไอคิวเท่านั้นๆถ้าใครวัดแล้วได้ไอคิวต่ำกว่าร้อย ก็ออกจะเสียใจสักหน่อยแต่นักจิตวิทยาเขาว่าอย่าไปสนใจกับไอคิวนักเลยเพราะการทดสอบนั้นมันไม่ค่อยแน่นักอาจทดสอบผิดพลาดได้ง่ายเท่าที่เขาค้นพบนั้น ว่าใครมีร่องยู่ยี่หยุกหยิกตอนกลางกระหม่อมมากๆมักจะฉลาดกว่าคนอื่นแต่คนที่ธรรมชาติไม่ได้สร้างสิ่งพิเศษมาให้ จะไม่มีทางฉลาดกับเขาบ้างหรือนักวิทยาศาสตร์ตอบว่ามีและมีได้แน่ๆ คนที่มีไอคิวปานกลางอาจจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีความรู้ดีได้โดยการหมั่นฝึกตัวเซลล์ในสมองให้มันทำงานไม่ปล่อยให้มันขี้เกียจอยู่เฉยๆเขาพบว่าคนที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคนมีไอคิวเท่าๆ กับคนธรรมดาอย่างเช่นจอห์น อาดัมส์,อับราฮัม ลินคอล์น,นโปเลียน,เนลสันเหล่านี้มีสมองธรรมดาๆแต่ว่าเป็นคนมีลักษณะพิเศษคืออุตสาหะพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้งคนสมองดีๆถ้าไม่หมั่นใช้มันก็จะฝ่อได้
4. แก่แล้วก็เรียนได้ดีเท่าหนุ่มๆเหมือนกันความเข้าใจผิดอย่างไม่เข้าท่า ก็คือว่ายิ่งแก่ตัวยิ่งเรียนไม่ได้สมองเสื่อม ความจำไม่ดี ถ้าเป็นคนขี้เหล้าเมายาหรือมีโรคอาจเป็นได้ดังนี้แต่คนปรกติแล้วย่อมเรียนได้ตลอดอายุ ความแก่ชราไม่เป็นอุปสรรคแก่การเรียนการเรียนเกี่ยวกับการให้กระแสไฟฟ้าในสมองเคลื่อนไหวดังนั้นถ้าสมองไม่ผุพังเพราะเชื้อโรคหรือการกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว อายุ 90 ปี ก็ยังเรียนได้ที่ว่าแก่ป้ำๆเป๋อๆชื่อคนที่เคยจำได้ก็นึกไม่ออก อะไรพวกนี้เป็นการยอมรับตัวเองทั้งสิ้น
5. กำลังสมองจะดีขึ้นถ้าได้ใช้มันอยู่เสมอสมองเหมือนกับกล้ามเนื้อตรงที่การฝึกถ้าได้ใช้ให้ทำงานอย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ มันจะยิ่งเก่งกล้าขึ้นท่านยิ่งใช้ความคิด ความคิดของท่านก็จะดีขึ้น หากท่านใช้ความจำอยู่เสมอความจำของท่านก็จะดีขึ้น คือท่านจะจำอะไรได้เร็วขึ้นมีอำนาจอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันเสมอคืออำนาจใจหรือกำลังใจกำลังอันนี้สะสมอยู่ในสมองทุกคราวที่ท่านใช้กำลังใจหรืออำนาจใจต่อสู้อุปสรรคปัญหาหรือความยากลำบากต่างๆกำลังใจของท่านก็เพิ่มพูนมีกำลังแรงขึ้น
6. จิตใต้สำนึก….คลังอันน่ามหัศจรรย์ส่วนลี้ลับและแสนจะพิศดารในตัวของเราคือจิตใต้สำนึก หรือบางทีเรียกว่าจิตไร้สำนึก มันเป็นที่เก็บพลังพิเศษและความจดจำเรื่องทั้งหลายมากมายก่ายกองแต่มันน่าประหลาด ที่เราไม่สามารถให้มันสำแดงฤทธิ์ตามใจเราได้มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่มีเหตุใหญ่ฉันพลัน ทันด่วนและแสดงออกมาโดยเราเองก็ไม่รู้ตัวจิตแพทย์ได้เพียรใช้จิตสำนึกรักษาโรคจิตอย่างเช่นบางคนอยู่ดีๆ กลัวและเกลียดคนหน้าดำเจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกลียดและกลัวอย่างไม่มีเหตุผลจิตแพทย์ต้องใช้วิธีให้จิตใต้สำนึกบอกเรื่องราวแต่หนหลัง ที่ตกตะกอนลงไปอยู่ในจิตแห่งนั้นก็รู้ได้ว่าเมื่อตอนนั้นยังเล็กอยู่มีคนหน้าดำคนหนึ่งได้เข้ามาปลุกปล้ำบีบคอเขาในบ้านแต่เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้เพราะมันตกไปอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อเขาโตขึ้นมันจึงแสดงอาการออกมาในลักษณะที่เขากลัวและเกลียดคนหน้าดำนักจิตวิทยากล่าวว่าหากเราหัดพูดกับจิตใต้สำนึกเราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้อย่างเช่นเราพูดกับจิตใต้สำนึกว่า คืนนี้เราจะตื่นตีห้า ทำใจให้แน่วแน่เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า พอถึงตีห้า จิตใต้สำนึกก็จะปลุกเราเองถ้าเราเป็นคนขลาดขี้อาย เราพยายามพูดกับจิตใต้สำนึกว่าเราจะไม่ขลาดเราจะไม่ขี้อาย ความขลาด ความขี้อายก็จะหายไปเอง